วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

โรคช็อกโกแลตซีสต์ กับดาราในวงการ

ช็อคโกแลตซีสต์มีอาการอย่างไรบ้าง

       ผู้หญิงทุกคนถ้าเมื่อใดก็ตามปวดท้องประจำเดือนมากจนกระทบต่อชีวิตประจำวันให้คำนึงถึงโรคช็อกโกแลตซีสต์ไว้ได้เลย เพราะเป็นอาการที่สำคัญและโดดเด่นสำหรับโรคนี้ แต่ก็ยังมีอาการอย่างอื่นบ่งบอกได้เช่นกัน ได้แก่ มีบุตรยาก แท้งง่าย ปวดบริเวณท้องน้อย อุ้งเชิงกรานขึ้นอยู่กับว่าช็อกโกแลตซีสต์ไปเกิดที่ส่วนไหน ฉะนั้นหากมีอาการดังกล่าวข้างต้นให้มาพบแพทย์เพื่อนตรวจวินิจฉัยและวางแผนแนวทางการรักษาต่อไปก่อนที่โรคจะลุกลาม
ตรวจวินิจฉัยอย่างไร
  • ตรวจภายใน
  • อัลตร้าซาวน์
  • อาการ
    บางคนจะปวดท้องเสมอเวลามีประจำเดือน ปัสสาวะไม่ออก ประจำเดือนมามากผิดปกติ และเวลากุ๊กกิ๊กกับแฟนก็จะมีอาการปวดท้องน้อย แต่บางคนไม่มีอาการเลย ปล่อยให้ซีสก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และมาพบคุณหมอด้วยสาเหตุ "มีบุตรยาก" คุณหมอถึงพบว่า "อ้าว คุณมีเจ้าก้อนนี้อยู่ก้อนใหญ่มาก และช๊อกโกแลตซีสต์ คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีบุตรยากอีกด้วย" และที่น่ากลัวก็คือ "ภาวะติดเชื้อ" เกิดหนองในช็อกโกแลตซีสต์ เพราะเลือดเก่าในถุงน้ำคืออาหารแสนอร่อยของแบคทีเรีย แต่กรณีนี้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนักค่ะ 
  • การรักษา
    นอกจากการ "ผ่าตัดโดยเปิดหน้าท้องและส่องกล้อง" อย่างที่รู้กันแล้ว ยังสามารถรักษาโดยการใช้ยา หรือรักษาร่วมกันทั้งผ่าและใช้ยา ซึ่งขึ้นอยู่กับ อาการ และ อายุของผู้ป่วย โดยการผ่าตัดแบบส่องกล้องจะทำให้แผลมีขนาดเล็ก แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า และต้องเป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น
  • การดูแลตัวเองไม่ให้เสี่ยง
    สาว ๆ ควรหมั่นออกกำลังกายกันเป็นประจำ เพื่อไปลดฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่ในทางการแพทย์แล้ว ยังไม่มีการยืนยันว่า อะไรทำให้ประจำเดือนไหลย้อนกลับ "เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรละเลยการตรวจภายในเป็นประจำทุกปีนะคะ" ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม 

 ช็อกโกแลตซีสต์

" ดาราสาวที่เคยเข้ารับการผ่าตัด ช็อกโกแลตซีสต์ "
นัท มีเรีย
ตรวจพบช็อกโกแลตซีสต์ในมดลูก และก้อนเนื้อ 4 ก้อนในรังไข่ เมื่อปี 2555 

Nat Myria 



เมย์ เฟื่องอารมณ์
ปี 2555 เมย์ เฟื่องอารมณ์ได้เข้ารับการผ่าตัดโดยตรวจพบช็อกโกแลตซีสต์ 1 ก้อน ขนาด 4.6 ซม. 
ที่ปีกมดลูกด้านซ้าย และอีกข้างนึงเป็นเดอร์มอยซีสต์เป็นไขมัน 2 ซม.  

May Feungarom 



เจี๊ยบ พิจิตรา สิริเวชชพันธ์
เพราะเกิดปวดท้องอย่างรุนแรง จนต้องพบแพทย์ และได้ตรวจเจอช็อกโกแลตซีสต์ขนาดราว ๆ 7 เซนติเมตร 
บริเวณมดลูกด้านซ้าย เข้ารับการผ่าตัดอย่างกระทันหันเมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา Jeab Pijittra 


 นานา ไรบีน่า
     ขณะที่สาวนานาไปตรวจสุขภาพเพื่อเตรียมพร้อมที่จะมีเจ้าตัวน้อย แต่แพทย์ดันไปตรวจพบช็อกโกแลตซีสต์ที่รังไข่ทั้ง 2 ข้าง และได้ผ่าตัดออกไปเรียบร้อย ไม่มีปัญหาต่อการมีบุตรแม้แต่น้อย แถมยังได้แฝดชาย-หญิงอีกต่างหาก! 

Nana Rybena 


เนย โชติกา
ปี 2556 สาวเนยตรวจพบช็อกโกแลตซีสต์อีก 8 ก้อน บริเวณหน้าอกและช่องท้อง หลังจากเคยผ่าออกไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว 
เจ้าตัวบอกว่าผ่าออกไปก็ยังไม่หายขาด แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะแพทย์นัดตรวจทุก ๆ 6 เดือนและทานยาอย่างต่อเนื่อง


noey chotika



 ศรีริต้า เจนเซ่น
สาวรายล่าสุดที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดไปหมาด ๆ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2557 
ต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน หลังจากเกิดอาการปวดท้องอย่างหนัก 
และตรวจพบช็อกโกแลตซีสต์ในช่องท้องจำนวน 3 ก้อน และมีก้อนหนึ่งที่มีอาการรั่ว Sririta Jensen


อาการของโรคกระดูกทับเส้นประสาทเป็นอย่างไร?

โรคกระดูกทับเส้น หรือที่เรียกกันว่า "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" นั้นเป็นโรคที่มีอัตราการเกิดเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่โรคเกี่ยวกับหลังและคอ โดยโรคนี้ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน หรือการใช้ร่างกายไม่ถูกต้อง จนทำให้เกิดโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทในที่สุด

อาการของโรคกระดูกทับเส้นประสาทเป็นอย่างไร?
อาการกระดูกทับเส้นประสาทที่พบได้บ่อยนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่
กระดูกทับเส้น

  • กระดูกทับเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่าง - เกิดจากการที่หมอนรองกระดูกปลิ้นหรือแตกจนทำให้ของเหลวภายในไปเบียดทับเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่าง (กระดูกสันหลังชิ้นที่ L3 L4 L5 S1) ทำให้ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนเอวไปถึงขา อาการของโรคกระดูกทับเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่าง
    • มีอาการปวดหลังบริเวณเอว เป็นๆ หายๆ
    • ปวดหลังมากเวลา ยืน ก้มเงย หรือนั่งนานๆ
    • ปวดหลังร้าวลงมาที่ขา น่อง ตาตุ่ม หรือเท้า ร่วมกับมีอาการชาที่บริเวณขาหรือเท้าด้วย
    • ระบบขับถ่ายผิดปกติ หรือรุนแรงจนเป็นอัมพาตของขาทั้งสองได้
  • กระดูกทับเส้นประสาทส่วนคอ - เกิดจากการที่หมอนรองกระดูกยื่นมากดทับเส้นประสาทบริเวณคอ ส่งผลทำให้เกิดอาการปวดคอ ร่วมกับปวดแขนข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง อาการของโรคกระดูกทับเส้นประสาทส่วนคอ
    • เกิดอาการชาบริเวณฝ่ามือโดยเริ่มจากปลายนิ้ว
    • มีอาการปวดร้าวบริเวณแขนข้างใดข้างหนึ่ง
    • ปวดคอ ปวดเมื่อยบริเวณสะบักเรื้อรัง
    • ไม่สามารถเคลื่อนไหวคอได้ปกติ
กระดูกทับเส้นประสาท เกิดจากสาเหตุใด?
  • การเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังตามอายุและการใช้งานเป็นปกติ
  • คนที่มีน้ำหนักตัวมากก็มีส่วนทำให้หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักมาก
  • มีพฤติกรรมหรือทำงานที่ต้องก้ม หรือยกของหนักบ่อยๆ
  • อาชีพที่ต้องนั่งทำงาน หรือขับรถเป็นระยะเวลานาน
  • อุบัติเหตุจากการหกล้ม
ผู้ป่วยกระดูกทับเส้นประสาทควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
หากผู้ป่วยดูแลตนเองด้วยวิธีถูกต้องและระมัดระวังก็จะทำให้มีโอกาสหายขาดจากโรคกระดูกทับเส้นประสาทสูง โดยผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวดังนี้
  • เปลี่ยนท่านอนเป็นการนอนตะแคง
  • เปลี่ยนมานอนที่นอนแข็งหรือที่นอนที่ยัดนุ่นแทน และใช้หมอนที่มีขนาดเตี้ยลงกว่าเดิม
  • ผู้ป่วยควรนั่งให้น้อยที่สุด เช่นหากจะนั่งพักเฉยๆ ให้เปลี่ยนเป็นการนอน หรือเวลาที่จะลุกนั่งให้นอนคว่ำแล้วคลานถอยลงจากเตียง
  • หากจำเป็นต้องนั่ง ควรนั่งหลังตรงพิงพนักโดยมีผ้าหรือหมอนหนุน
  • อย่านั่งนานเกินไป ควรลุกขึ้นยืนทุกๆ ชั่วโมง
  • เวลายกของหนัก ไม่ควรก้ม ควรใช้วิธีการย่อเข่าแทนการก้ม
  • ไม่ควรบิดตัว เพราะอาจทำให้หมอนรองกระดูกหลุดเพิ่มได้
  • ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
โรคแทรกซ้อน
หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอว ถ้าเคลื่อนรุนแรงมากขึ้นและกดทับเส้นประสาทเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดอาการชา และอ่อนแรงกล้ามเนื้อขาเป็นการถาวรได้ เช่นเดียวกับหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอ จะทำให้เกิดการชา และอ่อนแรงของกล้ามเนื้อบริเวณแขน หรือในกรณีที่กดทับรุนแรงมาก อาจทำให้เกิดอัมพฤตหรืออัมพาตได้
การป้องกันการเกิดโรคกระดูกทับเส้นประสาท
  • หลีกเลี่ยงการนั่ง ยืน เดิน เป็นระยะเวลานานๆ หมั่นเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
  • ควรลดน้ำหนักให้สมดุลกับร่างกาย
  • งดสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • ควรออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง
อ้างอิง http://www.phyathai.com/medicalarticledetail/1/7/895/th

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ท้องผูกเป็นประจำ ลองส่องกล้องกระเพาะอาหารดูมั้ย

ส่องกล้องกระเพาะอาหาร


ส่องกล้องกระเพาะอาหาร
ส่องกล้องกระเพาะอาหารการส่องกล้องเป็นเทคนิคพิเศษของการตรวจระบบทางเดินอาหารทั้งส่วนต้นและส่วนปลาย ซึ่งทางเดินอาหารประกอบไปด้วยหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก
ชนิดการส่องกล้องทางเดินอาหาร
    การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น (upper GI endoscopy) ลักษณะเครื่องมือมีลักษณะยาวๆเล็กๆ มีกล้องขนาดเล็กและหลอดไฟติดอยู่ส่วนปลาย ภาพจะปรากฏที่จอโทรทัศน์ แพทย์สามารถมองรายละเอียดของทางเดินอาหารตั้งแต่ส่องกล้องผ่านหลอดอาหาร ส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    จะเจ็บมากไหม? เนื่องจากก่อนใส่อุปกรณ์ แพทย์จะให้ยานอนหลับทำให้ผู้ที่ได้รับการตรวจจะไม่รู้สึกเจ็บในขณะตรวจและหลังการตรวจ

    ก่อนการส่องกล้องกระเพาะอาหาร แพทย์จะแนะนำให้งดน้ำและอาหารก่อน 6-8 ชม.


    วิธีการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น แพทย์จะใส่อุปกรณ์เข้าทางปาก ผ่านหลอดอาหารเพื่อส่องกล้องกระเพาะอาหาและลำไส้เล็กส่วนต้น ระหว่างใส่อุปกรณ์ แพทย์จะเห็นภาพของอวัยวะต่างๆทางจอโทรทัศน์ หากพบก้อนเนื้อผิดปกติก็จะตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ และหากพบแผลหรือจุดที่มีเลือดออกก็อาจจะทำการรักษาโดยการจี้เพื่อหยุดเลือด
    วิธีการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนปลาย เป็นการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ลักษณะเครื่องมือเป็นท่อขนาดเล็กปลายมีกล้องมีเลนส์ขยายภาพโค้งงอได้ โดยจะส่องตรวจผู้ที่มีอาการดังนี้
      ท้องผูกเป็นประจำหรือท้องผูกสลับกับท้องเสีย
      ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
      เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระมีติ่งเนื้อยื่นทางทวารหนัก
      ท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้อง
      คลำพบก้อนในท้อง น้ำหนักลด
      ตัวซีด มีอาการอ่อนเพลีย
      อายุเกิน 50ปี ควรจะตรวจสุขภาพทุกๆ3-5ปี

หมอหัวใจเก่งๆคนหนึ่งที่รักษาโรคหัวใจมือ1 ของ รพ.พญาไท เลิกรักษาคนเพราะอะไร

 หมอหัวใจเก่ง มือหนึ่งของ รพ.พญาไท 

ผมได้พบว่ามีงานวิจัยการรักษาโรคหัวใจที่ให้ผลเหลือเชื่อเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นหมอหัวใจ ผมจะยกตัวอย่างงานวิจัยบางงานที่เตะตาผมจังๆให้ท่านทราบนะ

งานวิจัยนี้ชื่อ EUROASPIRE เป็นงานวิจัยขนาดใหญ่ ใช้คนไข้โรคหัวใจถึง 13,935 คน ทำในโรงพยาบาลชั้นดีในยุโรป 67 รพ. ใน 22 ประเทศ และมีระยะติดตามดูนานถึง12 ปี คือเขาติดตามดูคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานปัจจุบัน กล่าวคือกินยา บอลลูน บายพาส คือจะดูว่าถ้าเป็นคนไข้ที่ดี หมอบอกให้กินยาก็กิน และรักษาอยู่กับโรงพยาบาลที่ดี หมอดี เครื่องมือดี ดูซิว่าผ่านไป 12 ปี แล้วคนไข้จะมีอะไรดีขึ้นบ้างไหม ผลวิจัยที่ได้ก็คือ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย อย่างเรื่องความอ้วน ยิ่งรักษากันไปก็ยิ่งอ้วนเผละยิ่งขึ้น ผ่านไปสี่ปีคนอ้วนเพิ่มขึ้น 25% ผ่านไปแปดปี เพิ่มขึ้นอีก 33% ผ่านไปสิบสองปี เพิ่มขึ้นเป็น 38%

มาดูความดันเลือดบ้าง ผ่านไปสี่ปีคนเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น 32% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 43% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 56% เรียกว่ารักษาไปรักษามากลายเป็นความดันเลือดสูงซะมากกว่าครึ่ง มาดูการเป็นเบาหวานก็ได้ ผ่านไปสี่ปีเป็นเบาหวาน 17% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 20% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 28% คือการแพทย์แผนปัจจุบันนี้รักษาคนไข้โรคหัวใจยิ่งทำกันไปก็ยิ่งสาละวันเตี้ยลง พูดเป็นภาษาจิ๊กโก๋ก็คือ

“..วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำกันอยู่นี้มัน..ไม่เวอร์ค”

คราวนี้มาดูงานวิจัยนี้นะ หมอคนนี้ชื่อ Caldwell Esselstyn เขาเป็นหมอทางด้านผ่าตัดต่อมไร้ท่อ เขาได้ทำงานวิจัยโดยเอาคนไข้โรคหัวใจของเขามา 22 คน จับทุกคนสวนหัวใจ ฉีดสี ถ่ายรูปไว้หมด ว่าคนไหน หลอดหัวใจตีบที่หลอดเลือดเส้นไหน ตีบมากตีบน้อยแค่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้ แล้วให้คนไข้เหล่านี้กินแต่อาหารมังสะวิรัต กินอยู่นาน 5 ปี แล้วเอาคนไข้ทั้งหมดกลับมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปใหม่ แล้วเอารูปครั้งแรกและครั้งที่สองมาเปรียบเทียบกัน ก็พบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบของคนไข้เหล่านี้กลายเป็นโล่งขึ้น อย่างตัวอย่างคนไข้คนนี้ ก่อนเริ่มวิจัย ผลฉีดสีเป็นอย่างนี้ คือเวลาเราฉีดสีเข้าไปในหลอดเลือดแล้วถ่ายเอ็กซเรย์ออกมาเป็นภาพยนตร์ ตัวสีจะเห็นเป็นสีขาวอย่างนี้ เวลาที่สีวิ่งผ่านจุดที่หลอดเลือดหัวใจมันตีบแคบหรือขรุขระ เนื้อสีสีขาวมันก็จะถูกบีบให้แคบและเห็นขอบขรุขระด้วยอย่างนี้ ส่วนภาพนี้เป็นผลการฉีดสีหลังจากกินมังสะวิรัติไปแล้วห้าปี จะเห็นว่ารอยตีบรอยขรุขระที่หลอดเลือดหายไป เหลือแต่ลำสีที่วิ่งได้เต็มหลอดเลือดตามปกติ

นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เราเชื่อกันมาแต่เดิมว่าเป็นแล้วไม่มีทางหายนั้นไม่เป็นความจริง ผลการติดตามฉีดสีซ้ำนี้ยืนยันว่ามันหายได้ และในงานวิจัยของเอสเซลส์ทินนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้มันหายคือการปรับอาหารการกิน

ผมเห็นงานวิจัยนี้ครั้งแรกผมทึ่งมาก ทั้งๆที่เขาทำไว้ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ผมเองเป็นหมอหัวใจเก่งผมกลับไม่ทราบเลย เห็นอย่างนี้ผมเชื่อแล้วว่าโรคหลอดเลือดหัวใจมันหายได้ แต่ผมยังมีข้อกริ่งเกรงอยู่ประเด็นหนึ่ง คือตัวผมเองก็เป็นนักวิจัย งานวิจัยที่ไม่ได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่มไว้เปรียบเทียบกันนั้น จะสรุปเอาดื้อๆว่าหลอดเลือดตีบหายเพราะปรับอาหารย่อมไม่ได้ มันต้องมีงานวิจัยแบบเดียวกันที่เอาคนไข้มาสุ่มตัวอย่างเป็นสองกลุ่มแล้วเปรียบเทียบกันดู จึงจะพิสูจน์ได้จะจะว่ามันหายเพราะปรับอาหารจริงหรือไม่

แล้วผมไม่ต้องรอนานเลย หมอคนนี้ชื่อ Dean Ornish เขาเป็นหมอหัวใจเก่ง เขาได้ทำงานวิจัยที่เอาไข้โรคหัวมาเกือบร้อยคนจับฉลากแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ใครจับได้เบอร์ดำ ไปเข้ากลุ่มควบคุมซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมาตามปกติ ใครจับได้เบอร์แดงไปเข้ากลุ่มที่ต้องปรับชีวิต คือต้องทำสามอย่าง ได้แก่ (1) ต้องกินอาหารมังสะวิรัติบวกปลา บวกนมไร้ไขมัน (2) ต้องออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง (3) ต้องจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิตามดูลมหายใจ หรือรำมวยจีน หรือโยคะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกวัน ก่อนเริ่มวิจัยก็เอาทุกคนทั้งสองกลุ่มมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปหลอดเลือดไว้ก่อน พอครบหนึ่งปีก็เอามาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก พอครบห้าปีก็เอาทุกคนมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก ผลวิจัยที่ได้ยืนยันงานวิจัยของเอสเซลส์ทีน คือ กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบที่หัวใจโล่งขึ้น ขณะที่กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอบตีบเดินหน้าตีบแคบลง ผลการสวนหัวใจเมื่อห้าปีก็ยิ่งยืนยันว่ากลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบก็ยิ่งโล่งขึ้นอีก กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบก็ยิ่งตีบแคบลงอีก ต้องเจ็บหน้าอกบ่อยกว่า เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่า 

มาถึงตรงนี้โรคหลอดเลือดหัวใจนั้นชัดแล้วว่ามันหายได้ด้วยการกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด แล้วความดันเลือดสูงละ ผมได้ค้นคว้าต่อไปอีก ก็พบว่ามีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาทำไว้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ผมสรุปมาให้ดูตรงนี้คือถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก. ความดันตัวบนจะลดลง 20 มิล ถ้ากินอาหารมังสะวิรัติบวกนมไร้ไขมันบวกปลาความดันตัวบนจะลดลง 14 มิล ถ้าออกกำลังกาย ความดันตัวบนจะลดลง 9 มิล ถ้าเลิกกินเค็ม ความดันตัวบนจะลดลง 8 มิล ถ้าบวกสี่อย่างนี้เข้าด้วยกันความดันตัวบนก็จะลดลงได้มากโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย

คราวนี้โดยบังเอิญ ผมก็ไปพบงานวิจัยปรับชีวิตเพื่อรักษาเบาหวานเข้า งานวิจัยนี้เรียกว่างานวิจัย DPPRG เขาเอาคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มา 3234 คน มาจับฉลากแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่ 1. ให้ปรับชีวิตในสามประเด็นคืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด กลุ่มที่ 2. ให้กินยาเบาหวานซะเลยรู้แล้วรู้รอด กลุ่มที่ 3. ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน แล้วตามดูคนพวกนี้ไปสี่ปี ดูว่าใครจะป่วยเป็นโรคเบาหวานมากกว่ากัน ผลเป็นอย่างนี้ครับ
กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเป็นเบาหวานมากที่สุด กลุ่มที่กินยาเบาหวานเป็นเบาหวานรองลงมา ส่วนกลุ่มที่ปรับชีวิตเป็นเบาหวานน้อยที่สุด น้อยกว่ากลุ่มแรกเกินสองเท่าตัว

ผมศึกษางานวิจัยถึงการปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือดและลดการเป็นโรค เริ่มต้นผมก็มาสะดุดที่งานวิจัยขนาดใหญ่ของฮาร์วาร์ดอันนี้ ในงานวิจัยนี้ ฮาร์วาร์ดตามดูคนแปดหมื่นกว่าคนนาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหนทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด โดยใช้แคลอรี่ที่เท่ากันเป็นตัวเทียบ และเอาแคลอรี่จากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นเกณฑ์มาตรฐาน พูดง่ายๆว่าเป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้ายของไขมันชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้ผมมีความเข้าใจว่าน้ำมันหมู น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด แต่พอมาศึกษางานวิจัยนี้จึงรู้ว่าเข้าใจชีวิตผิดไปแล้ว

ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือไขมันทรานส์ ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูน้ำมันวัวที่ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คือสรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าไขมันทรานส์นี่มันอะไรกันวะ เมื่อศึกษาเพิ่มเติมจึงได้ทราบว่าไขมันทรานส์นี้แต่ก่อนมันมีในอาหารของมนุษย์เราน้อยมาก เพราะมันไม่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนคนเราเกิดความกลัวน้ำมันหมูน้ำมันวัวแบบขี้ขึ้นสมอง คนก็หันไปหาน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง  แต่ว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวนี้มันเอามาทำอาหารอุตสาหกรรมไม่ได้ เพราะมันเหลวเละ อัดเป็นก้อนไม่ได้ ทำให้เป็นผงก็ไม่ได้ นักอุตสาหกรรมจึงเอาน้ำมันพืชมา แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้ น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่าไขมันทรานส์ มันทำมาจากน้ำมันถั่วเหลืองก็จริง แต่มันกลายเป็นน้ำมันอีกอย่างไปแล้ว คุณสมบัติมันเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนคนเคยเป็นเสื้อเหลืองตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสื้อแดง มันคนละเรื่องแล้ว  แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้ เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรมเช่นเนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เหล่านี้แหละคือไขมันทรานส์

ผมถึงบางอ้อเลย เพราะผมดื่มกาแฟ “ทรีอินวัน” ใส่ครีมเทียมและน้ำตาลก้อนวันละหลายแก้ว มีคุ้กกี้ควบกับกาแฟเสมอ แถมกลับบ้านโซ้ยเค้กซาราลีเป็นมื้อเย็นอีก เรียกว่าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไขมันทรานส์ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดมาซะนานนะเนี่ย อุตส่าห์เลิกแคบหมูของโปรดนึกว่าจะได้ดี..ที่ไหนได้

ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง คือผมทบทวนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน จนผมสรุปข้อมูลได้แน่ชัดว่าหากเรากินอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง น้ำตาล หากคาร์โบไฮเดรตมันเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นไขมันเก็บไว้ และทำให้ระดับไขมันเลวในร่างกายเพิ่มขึ้น และเมื่อผมตามไปดูงานวิจัยที่มาของคาร์โบไฮเดรตในอาหารของคนอเมริกัน ก็พบว่า 35% มาจากเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่นน้ำอัดลมต่างๆ อ้าว..เอาอีกแล้วผม เพราะผมดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า ผมรับมาเต็มๆอีกแล้ว
 มาถึงจุดนี้ เห็นงานวิจัยพวกนี้ ผมสรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ผมตัดสินใจเลย...ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง
ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์
เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบทเปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย

ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีแก้ของผมง่ายมาก คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย

ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงเข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงการรักษาคนสูงอายุที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้ แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้ กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่นเลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม โดยเฉพาะมื้อกลางวันไม่ต้องออกไปทานข้างนอกต้องคอยรับไหว้เด็กๆตั้งแต่เดินไป นั่งกิน แล้วเดินกลับ ไม่หนุกเลย

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ปัญหาแรกก็คือเวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว ตอนแรกผมใช้วิธีออกไปเดินเร็วๆในหมู่บ้าน หมาเห่ากันเกรียวเพราะมันค่ำแล้ว แล้วผมเนี่ยมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบทะเลาะกับหมามาตั้งแต่เด็ก การออกไปวิ่งแต่ละครั้งแทนที่จะผ่อนคลายกลับกลายเป็นความเครียด จึงต้องเปลี่ยนใหม่ ซื้อเครื่องวิ่งสายพานมา มาตั้งไว้ในห้องทีวี ใหม่ๆก็ขยันเดินขยันวิ่งด้วยความลำบาก เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดีอย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้ ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ซึ่งพอลงมือทำแล้วมันไม่ง่ายเลย พอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก แต่เวลาของเรามีน้อย เริ่มต้นก็ทำได้ถี่ แล้วก็ค่อยๆห่างไปๆ จนเครื่องเดินสายพานกลายเป็นเครื่องประดับรกห้องทีวี ท้ายที่สุดทนดูมันไม่ได้ต้องย้ายไปไว้บนชั้นสาม เด็กคนใช้ชอบใจเพราะได้ที่ตากผ้าขี้ริ้ว ผมเปลี่ยนไปซื้อเครื่องโยกแบบที่เรียกว่าelliptical มาแทน ก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่อีก แบบว่า.. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น เวลาผ่านไปหกเดือน ก็ยังออกกำลังกายไม่สำเร็จ

ในที่สุดผมต้องนั่งจับเข่าคุยกับตัวเองว่าถ้าผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมต้องทำมันก่อนสิ่งอื่นในแต่ละวัน เพราะในวิชาการบริหาร หลักการบริหารเวลาคือทำเรื่องสำคัญก่อน ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาผมต้องออกกำลังกายก่อน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ยังไม่ต้องทำเรื่องอื่น เพราะเรื่องอื่นไม่สำคัญเท่า ฟันก็ไม่ต้องแปรง ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายก็ไม่ต้องออกจากบ้าน เพราะฟันไม่ได้แปรงจะออกจากบ้านได้ยังไง มีบางวันที่ผมทะเลาะกับตัวเองแบบนี้จริงๆ คือ
“..วันนี้ต้องรีบแปรงฟัน เพราะจะไปประชุมแต่เช้า”
“..ไม่ได้ เอ็งยังแปรงฟันไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ออกกำลังกาย”
“..จะบ้าเหรอ”
“..ไม่บ้าหรอก เราคุยกันแล้วนะ ว่าจะทำเรื่องสำคัญก่อน”
ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้ นี่ขนาดผมยังไม่ได้เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย

ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมากก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่ แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำผ่าตัดอีกต่อไปอย่างนี้หรือ ทำไม่ผมไม่ทิ้งการผ่าตัดให้คนรุ่นหลังเขาทำกันไปละ ตัวผมเปลี่ยนไปทำอะไรที่ช่วยคนไข้ในวงกว้างได้ถาวรกว่าการผ่าตัดหัวใจเสียไม่ดีกว่าหรือ

คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย คือลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่ ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มไม้เต็มมือ อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปีก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวหรือ Family Medicine ได้ ไปสอบกับหมอรุ่นเด็กๆตอนอายุห้าสิบปลายๆนะ ปูนนี้แล้วคนเราถ้าไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่ทำ จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย ทั้งในรูปแบบพบกันแบบ face to face ที่คลินิก เขียนบล็อกสอนคนทั่วไปทางอินเตอร์เน็ท เขียนหนังสือสุขภาพ ทำรายการทีวี. เปิด Health Camp ที่มวกเหล็กเพื่อสอนเรื่องสุขภาพ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ทำไมหมอหัวใจเก่ง จึงมีผลต่อการรักษา

หมอหัวใจเก่ง มีผลต่อการรักษา
โรคหัวใจเป็นโรคที่กระทรวงสาธารณะสุขสำรวจพบว่าคนไทยมีความเสี่ยงเป็นอันดับ 1 หากผู้ป่วยนั้นได้รับการตรวจโรคหัวใจอย่างแม่นยำก็จะทำให้เกิดการรักษาที่ตรงจุด นอกจากนั้นจะต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษา เนื่องจากการรักษาโรคหัวใจนั้นมีความอันตรายและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
นอกจากหมอหัวใจเก่ง พญาไทยังมีติดตามการรักษาทุกขั้นตอน
ให้บริการด้านการรักษาพยาบาล และดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจทั้งด้านอายุรกรรมและศัลยกรรม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อย่างครบวงจร มีทีมแพทย์อายุรกรรมหัวใจและศัลยแพทย์หัวใจ ประจำตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีทีมพยาบาล ที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจโดยเฉพาะอีกด้วย และครบครันด้วยอุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีการนำนวัตกรรมในการผ่าตัดหัวใจแผลเล็ก การผ่าตัดแบบ Off pump การปิดรูรั่วในหัวใจด้วยร่ม(โดยไม่ต้องผ่าตัด) มาใช้รักษาผู้ป่วย ส่งผลให้ผลการรักษาและการฟื้นตัวของผู้ป่วยเร็วขึ้น
ข้อดีของการเข้ารับการรักษาโรคหัวใจที่พญาไท
    ทีมหมอหัวใจเก่งมีความเชี่ยวชาญในการรักษาเฉพาะทาง
    มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์อันทันสมัย
    มีเครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ
    มีห้องปฏิบัติการผ่าตัดหัวใจที่มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์อันทันสมัย
    มีห้องสำหรับผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ (CCU) ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์อย่างครบครัน
    มีแผนกผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างครบครันได้แก่ แผนกผู้ป่วยนอก แผนกตรวจสวนหัวใจ แผนกผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ แผนกผ่าตัดหัวใจ แผนกฟื้นฟูและควบคุมปัจจัยเสี่ยง
    มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง ให้ความอบอุ่นเสมือนครอบครัวเดียวกัน
ศูนย์หัวใจที่ดีนอกจากมีหมอหัวใจเก่งแล้วยังต้องมี 4H’s
เพราะหัวใจมีความสำคัญที่สุด จึงต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ทางโรงพยาบาลพญาไทจึงได้จัดตั้งศูนย์หัวใจ หรือ Health Heart Center ที่มีความพร้อมทางการรักษา เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างทันท่วงที โดยโรงพยาบาลมั่นใจว่า ด้วยแนวคิด 4H’s หัวใจทุกดวงที่ก้าวเข้ามาที่ศูนย์โรคหัวใจแห่งนี้ จะได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน
    Heart Service ความพร้อมเพื่อการบริการแบบฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงเพราะอาการเฉียบพลันอันเกิดจากโรคหัวใจต้องการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วน ศูนย์หัวใจ จึงมีบริการรถฉุกเฉินหัวใจ โดยแพทย์และพยาบาลเฉพาะทาง พร้อมอุปกรณ์การแพทย์ เช่นเครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจ ทำการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
      Heart Coordinator พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง และ Heart Hotline ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวตั้งแต่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลจนถึงการฟื้นฟู รวมถึงโทรศัพท์ติดตามเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อติดตามผล และให้ความรู้ในการดูแลตนเองและป้องกันไม่ให้กลับเป็นโรคเดิมอีก
      Cath Lab Stand by ห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ stand by เพื่อให้การรักษาคนไข้ที่มีอาการเฉียบพลัน สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที คือสามารถเปิดห้องปฏิบัติการนี้ภายใน 30 นาที

    Heart Doctor ทีมแพทย์เฉพาะด้านหัวใจชั้นนำระดับประเทศ ที่มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญในการป้องกันดูแลรักษาและฟื้นฟู ด้วยความพร้อมของทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการป้องกันดูแล รักษา และฟื้นฟู อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และปลอดภัย โดยเชื่อมั่นว่า ที่นี่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์โรคหัวใจอันดับหนึ่งของเอเชีย ศูนย์หัวใจพญาไท ฮาร์ทเซ็นเตอร์ ให้ความสำคัญของการป้องกันเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงการออกกำลังกาย ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังบริการรถฉุกเฉินหัวใจ สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคหัวใจ พร้อมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อความปลอดภัยและการดูแลรักษาที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ นำทีมโดยนพ.ณัฐนันทน์ ประศาสน์สารกิจ แพทย์หัวหน้าศูนย์หัวใจพญาไท 2 และ นพ.อมร จงสถาพงษ์พันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการสวนหัวใจและขยายหลอดเลือดหัวใจ
    Heart Imaging การใช้เทคโนโลยีรังสีวิทยาในการวินิจฉัยโรค ด้วย MRI, CT-Scan, Cath Labการตรวจรักษาอวัยวะที่อยู่ด้านใน ร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจนั้น การมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยช่วยในการตรวจวินิจฉัยโรค จะทำให้การตรวจรักษามีความแม่นยำ ในทุกขั้นตอน ซึ่งทางศูนย์โรคหัวใจพญาไท1 ได้ให้ความสำคัญในการลงทุนนำเทคโนโลยีรังสีวิทยา มาใช้ ทำให้ผู้เข้ามารับการรักษามีความสบายใน และมั่นใจมากที่สุด
    Heart Rehab การฟื้นฟูหัวใจ จะช่วยให้ผู้เป็นโรคหัวใจกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน ทำงานได้ตามปกติ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย และช่วยลดภาวะเสี่ยงในผู้ทีมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
     ที่มา http://www.phyathai.com/medicalarticledetail/1/4/841/th

วิธีการรักษาไซนัสอักเสบ

ไซนัส Sinusitis

​ไซนัสเป็นอวัยวะซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงอากาศในกะโหลก มีทั้งหมด 4 ตำแหน่ง ได้แก่
  • บริเวณหน้าผากใกล้หัวคิ้ว 2 ข้าง (frontal sinus) 
    • บริเวณหัวตา 2 ข้าง (ethmold sinus)
    • บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง (maxillary sinus)
    • บริเวณกะโหลกศีรษะใกล้ฐานสมอง (sphenoid sinus)
  • ไซนัสอักเสบเกิดจากอะไร

    ไซนัสอักเสบ (sinusitis) เกิดขึ้นเมื่อจมูกมีการติดเชื้อจากหวัดหรือภูมิแพ้ มีสารระคายเคืองแปลกปลอมอยู่ในจมูก ทำให้เยื่อบุจมูกบวมส่งผลให้รูเปิดไซนัสเกิดการอุดตันจนเกิดการคลั่งสะสมของเชื้อโรคและน้ำเมือกในโพรงไซนัส ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบขึ้น

    อาการไซนัสอักเสบเป็นอย่างไร

  • ไอเรื้อรัง, หวัดเรื้อรัง, หูอื้อ
    • มีอาการคัดจมูกข้างใดข้างหนึ่งเรื้อรัง
    • พูดเสียงขึ้นจมูก
    • มีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียว เจ็บคอ มีเสมหะเหลืองหรือเขียวในลำคอ
    • หายใจมีกลิ่นเหม็นคาว
    • ปวดมึน ๆ หนัก ๆ ตรง บริเวณหัวตา หน้าผากโหนกแก้มหรือรอบ ๆ กระบอกตา
    • มีความรู้สึกคล้ายกับปวดฟันบริเวณขากรรไกรบน อาการปวดมักเป็นมากในเวลาก้มหน้า
  • วิธีการรักษาไซนัสอักเสบนั้นมีทั้งหมด 2 วิธีหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่

    1. การรักษาไซนัสด้วยการใช้ยา ในกรณีที่คนไข้มีอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก แพทย์จะทำการรักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งการรักษาตามอาการของคนไข้
    2. การรักษาด้วยการผ่าตัด ในกรณีที่คนไข้มีอาการที่รุนแรงเรื้อรังมาก แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัด โดยทางโรงพยาบาลพญาไท 1 ของเรานั้นมีความชำนาญในการรักษาด้วยการผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ หรือ FESS (Functional Endoscopic Sinus Surgery)
    การผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องเทคนิคใหม่ หรือ FESS นั้น เป็นผ่าตัดเปิดโพรงไซนัสทั้งหมดให้เชื่อมต่อเข้าหากัน ซึ่งการผ่าตัดต่อโพรงไซนัสเข้าหากันนั้นทำให้สามารถพ่นยาและน้ำเกลือเข้าไปทำความสะอาดในโพรงไซนัสได้อย่างทั่วถึง และลดโอกาสของการกลับมาเป็นไซนัสอักเสบอีกครั้งได้สูงมากกว่าการผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องแบบดั่งเดิม การผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องเทคนิคใหม่นี้จะต้องทำโดยศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงมาก เนื่องจากโพรงไซนัสแต่ละโพรงนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับอวัยวะอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ สมองส่วนล่างและกระบอกตา หากแพทย์ผู้ผ่าตัดไม่มีความชำนาญมากพอก็อาจเกิดข้อผิดพลาดในระหว่างการผ่าตัดได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อคนไข้เป็นอย่างมาก

    ข้อดีของการผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องเทคนิคใหม่ (FESS / Functional Endoscopic Sinus Surgery)

    1. สามารถพ่นยาและทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือในโพรงไซนัสได้อย่างทั่วถึง
    2. ลดโอกาสของการกลับมาเป็นไซนัสอักเสบได้สูงมากกว่าการผ่าตัดไซนัสผ่านกล้องแบบดั่งเดิม

    การดูแลหลังผ่าตัดไซนัสผ่านกล้องเทคนิคใหม่ (FESS)

    1. หลังจากวันผ่าตัด 2 วัน ให้ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือวันละ 2 ครั้ง
    2. ห้ามสั่งน้ำมูกแรงๆ
    3. ห้ามดื่มสุราหรือสูบบุหรี่

    สัญญาณเตือนมนุษย์วัยทำงาน หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

    คำแนะนำจากคุณหมอ เกี่ยวกับ​โรคกระดูกทับเส้นประสาทที่เป็นเรียกทางการแพทย์ว่า Lumbar Stenosis หรือช่องกระดูกสันหลังตีบแคบจากหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือภาษาชาวบ้านเราเรียกว่า "กระดูกทับเส้น" ทำให้มีอาการชาที่ขา 2 ข้าง ร่วมกับมีอาการอ่อนแรง ต้องระมัดระวังเรื่องการล้มให้มากที่สุด เพราะเวลาเดินการทรงตัวจะทำได้ไม่สมดุลย์เกิดการลื่นล้มทำให้เกิดผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรง คือ กระดูกหักตามมาได้ครับ การผ่าตัดใช้วิธีการขยายช่องโพรงสันหลังระดับเอว ค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายประมาณ 130,000 บาทครับ ถ้าหากเป็นข้าราชการยังไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ สำหรับโรคทางกระดูกที่สามารถเบิกหรือใช้สิทธิ์ข้าราชการเบิกจ่ายบางส่วนในโรงพยาบาลเอกชน ได้แก่ 1. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม 2. การเปลี่ยนข้อตะโพกแบบทั้งหมด และ 3. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อตะโพกแบบบางส่วนครับ
    หมอนรองกระดูกสันหลัง เป็นอวัยวะที่คั่นอยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ มีลักษณะเหนียวและยืดหยุ่น มีหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกาย และรองรับแรงกระแทก
    เส้นประสาทไขสันหลังอยู่ในโพรงประสาทไขสันหลัง มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายและควบคุมการเกิดรีเฟล็กซ์ เช่น ชักขาออกทันทีเมื่อเหยียบตะปู เมื่อเส้นประสาทถูกกดทับจะทำให้สูญเสียการทำงานของอวัยวะนั้นๆ เช่น กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง และชา หรือปวดในตำแหน่งที่ถูกกดทับ
    สาเหตุของหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
    1. อายุมากขึ้นเกิดการเสื่อมตามวัย หมอนรองกระดูกเหี่ยวบางลง ความเหนียวและยืดหยุ่นลดลง เอ็นรอบๆข้อกระดูกสันหลังหลวมมากขึ้น ทำให้เกิดการเคลื่อนและปริแตกของหมอนรองกระดูกได้ง่าย
    2. เกิดจาการใช้งานหนัก จากการเล่นกีฬา ยกของหนัก นั่งผิดท่า เป็นต้นทำให้ เสื่อมสภาพจากการใช้งาน
    3. เกิดจากอุบัติเหตุ กระแทกรุนแรง
    อาการ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
    อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทระดับคอ
    • มีอาการปวดต้นคอ
    • ปวดร้าวลงไหล่แขน มือมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและชา ทำให้หยิบจับของได้ลำบาก
    อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทระดับเอว
    • มีอาการปวดหลัง
    • ปวดสะโพกร้าว ลงขา
    • บางรายมีอาการอ่อนแรงและชาของกล้ามเนื้อขาและเท้า ทำให้เดินลำบาก
    การวินิจฉัยของแพทย์
    • ตรวจร่างกาย
    • เอกซเรย์
    • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT - spine)
    • เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI - spine)
    การรักษาโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
    1. การรักษาด้วยยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ
    2. การทำกายภาพบำบัด และการบริหารกล้ามเนื้อ หลัง ท้อง หรือคอ
    3. การผ่าตัด เพื่อเอาหมอนรองกระดูกส่วนที่ปริ ยื่นทับเส้นประสาทออก หรือ เอาหมอนรองกระดูกที่เสื่อมสภาพออกแล้วใส่หมอนรองกระดูกเทียม การผ่าตัดมี 2 วิธี
    1. ผ่าตัดแบบเปิดแผลยาว แผลผ่าตัดยาวประมาณ 10 ซม.
    2. ผ่าตัด ส่องกล้องแผลเล็ก เรียกว่า minimally invasive spine surgery
    แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดก็ต่อเมื่อ การรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัดไม่ได้ผล ไม่สามารถลดอาการปวดหลังได้ และมีภาวะของหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท
    การผ่าตัดแบบ Minimally Invasive
    หลักการของการผ่าตัดแบบนี้คือ เปิดแผลให้เล็กที่สุด แต่ยังคงมีประสิทธิภาพของการผ่าตัด โดยเฉพาะความปลอดภัยของผู้ป่วย ลดการทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียง
    อุปกรณ์ที่สำคัญของการผ่าตัด คือ กล้อง Microscope ที่มีกำลังขยายสูงมาก ทำให้แพทย์เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนกว่ามองด้วยตาเปล่า และ Navigator เป็นเครื่องมือใช้สำหรับคำนวณพิกัดของกระดูกสันหลัง แสดงภาพ 3 มิติ แพทย์จะสามารถวางแผนการผ่าตัดได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น ส่วนเครื่องมืออื่นๆ ทั่วไป ได้แก่ เครื่องตัด เครื่องดูด และเลเซอร์ เป็นต้น
    การผ่าตัด แพทย์จะวางยาสลบ หรือบล็อกหลังทำความสะอาดผิวหนัง จากนั้น จะกรีดแผลเล็กๆ 2 – 3 ซม. บริเวณหลังหรือคอขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จะผ่าตัด ใส่ท่อขนาดเล็กลงไปผ่านทางรูที่เจาะไว้ แพทย์จะใส่เครื่องมือต่างๆ ลงไปในท่อและทำการผ่าตัด หลังผ่าตัดเสร็จแพทย์จะนำท่อและอุปกรณ์ทั้งหมดออก
    1. ลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหลัง หรือคอ
    2. ขณะผ่าตัดเสียเลือดน้อย
    3. แผลเล็ก 2 – 3 ซม.
    4. การฟื้นตัวไว พักฟื้นที่โรงพยาบาล น้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดแผลยาว
    5. เสี่ยงต่อการติดเชื้อของแผลน้อยกว่า
    ที่มา 
    http://www.phyathai.com/medicalarticledetail/1/7/832/th